เสบียงแห่งความดี

ตั้งแต่มาใช้ชีวิตส่วนหนึ่งในเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยม ผ่านไปหลายฤดูกาล ได้รู้จักมักคุ้นกับผู้คนท้องถิ่นมากมายหลายผู้หลายนาม  เมื่อวันเวลาผ่านไป ผู้คนหลายคนก็จากไปในอีกโลกหนึ่งบางคนจากไปด้วยเหตุอันควรแก่เวลา บางคนจากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บอันสุดวิสัยที่จะเหนี่ยวรั้งยั้งยื้อถือชีวิต ไว้ได้ บางคนจากไปด้วยสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเร็วเพียงแค่เสี้ยววินาที…

 

หวาน ชอบไปร่วมงานศพ ไม่ว่าจะเป็นที่นี่(เนเธอร์แลนด์,เบลเยี่ยม) หรือที่เมืองไทย สาเหตุที่ชอบไปเพราะชอบฟัง การกล่าวไว้อาลัยของผู้ที่อยู่เบื้องหลังกล่าวถึงผู้ที่ล่วงลับดับสูญไปว่า ได้กระทำความดีอะไรไว้บ้างก่อนจากไป และอีกอย่างคือชอบฟังคำสอนหรือคำเทศนาของพระสงฆ์ หรือบาทหลวง ที่เทศน์สั่งสอนก่อนส่งวิญญาณผู้ที่ล่วงลับดับสิ้นไปสู่โลกใหม่ และสั่งสอนเป็นคติเตือนใจให้ผู้ที่ยังอยู่ ได้รู้  ได้ประพฤติ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไป…

 

วันนี้ หวานได้มีโอกาสได้ไปร่วมพิธีฝังศพของคนที่รู้จักที่นี่ที่จากไปด้วยวัยอัน สมควรแก่เวลา ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่ไข้ จากไปด้วยอาการมีสติ รู้ได้ สัมผัสได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม อาการเหมือนผลไม้สุกคือเมื่อผลไม้สุกงอมอย่างเต็มที่แล้ว ผลไม้ลูกนี้ไม่แตก ไม่เน่า ไม่มีส่วนบุบสลายแต่ผลไม้ลูกนี้สุกงอมเต็มที่พร้อมที่จะร่วงหล่นจากต้นสู่ พื้นล่างอย่างสวยงาม….

 

วันนี้ ช่วงที่บาทหลวงกล่าวเทศนาแก่ญาติๆของผู้เสียชีวิต ฟังแล้วให้ได้คิด จริงๆแล้วคริสต์หรือพุทธ คำสอนก็ไม่ได้ต่างกัน คือสอนให้ทำความดีทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น…บาทหลวงเทศนาว่า…ทุกครั้งที่ พวกเราจะเดินทางไปฟากันซี่( vakantie = การท่องเที่ยวช่วงหน้าร้อนของฝรั่งที่นี่) พวกเราจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นหลายวัน หลายอาทิตย์ หรือเป็นเดือน พวกเราออกเดินทางไกลจากบ้านที่พักอาศัยเพื่อไปท่องเที่ยวต่างบ้านต่างเมือง พวกเราพกพาสิ่งที่จำเป็นไปได้แค่หนึ่งกระเป๋าเดินทางเท่านั้นเพื่อให้เพียง พอกับการพักผ่อนหย่อนใจในหนึ่งเวลาที่เราเดินทางไป….แต่การเดินทางไกลจาก โลกนี้ไปสู่โลกใหม่ เราต้องตระเตรียมสิ่งของที่จำเป็นตลอดทั้งชีวิต ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้ออกเดินทาง เพราะเราไม่ได้มีการจองตั๋วหรือซื้อตั๋วล่วงหน้า เพราะฉะนั้นแต่ละคนแค่รอเวลา ว่าเมื่อไหร่เราจะได้ออกเดินทาง เพราะฉะนั้นถ้าถึงเวลาที่เราจะต้องออกเดินทางไปยังโลกใหม่แต่เสบียงของเรา ไม่เพียงพอหรือเราไม่ได้เตรียมเราจะไปหาซื้อเอาข้างหน้าก็ไม่ได้ ไปขอคนอื่นในโลกใหม่เขาก็คงไม่ให้ เพราะเสบียงในการที่จะตระเตรียมไปในโลกหน้านั้นก็คือเสบียงแห่งความดี เพราะฉะนั้นเราต้องสะสมเสบียงความดีเองเพื่อที่จะออกเดินทางได้ทุกเมื่อ เชื่อวัน เพื่อที่เสบียงของเราจะได้เพียงพอต่อการเดินทางไปในอีกโลกหนึ่ง….ลองถามตัวของท่านเองว่าวันนี้ท่านได้สะสมเสบียงเพื่อออกเดินทางไปสู่โลกใหม่หรือยัง?????
Image

โพสท์ใน เรื่องราวของเราเอง, ไม่มีหมวดหมู่ | 1 ความเห็น

รุ่งอรุณรีสอร์ท อีสเทิร์นซีบอร์ด,ระยอง

 

 

 บ้านรุ่งอรุณ

เป็นบ้านพัก สบายๆ สไตล์รีสอร์ท สะอาด สงบ ไม่พลุกพล่าน แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และสวนสวย เหมาะแก่การพักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน

  • บ้านร่งอรุณ
  • ตั้งอยู่ ด้านหน้านิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ดประมาณ 300 เมตร

     

    @@

    ที่อยู่บ้านรุ่งอรุณ @@

    134

    หมู่ 4 .นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด

    .ปลวกแดง .ปลวกแดง .ระยอง

    * *

    เบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้สะดวกตลอดเวลา **

    086-8298877

    081-6556191

     

     

    @@ อัตราค่าห้องพัก @@

     เตียงเดี่ยว ราคา 600 บาท ต่อห้อง ต่อคืน 

    ห้อง

    2 เตียง ราคา 600 บาท ต่อห้อง ต่อคืน

    ห้อง 3 เตียง ราคา 800 บาท ต่อห้อง ต่อคืน

             

     

    @@

    ภายในห้องพัก ประกอบด้วย @@

    • โทรทัศน์
    • เคเบิลทีวี
    • ตู้เย็น
    • กาต้มน้ำร้อน
    • เครื่องปรับอากาศ
    • โต๊ะทำงาน
    • อินเทอร์เน็ทไร้สาย
    • ความเร็วสูง

    • โต๊ะนั่งเล่นหรือนั่งทำงานหน้าบ้าน
    • เครื่องทำน้ำอุ่น
    • ห้องอาบน้ำและห้องน้ำ
    •  ห้องซัก
    • ล้างพร้อมตู้เก็บของและอ่างล้างจาน

    • กาแฟ
    • และน้ำดื่ม

       

      @@ สถานที่ใกล้เคียงบ้านรุ่งอรุณ @@

      • นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด
      • นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้
      • นิคมอุตสาหกรรมบ่อวิน
      • นิคมอุตสาหกรรมสยาม
      • นิคมอุตสาหกรรมเหมราช

            

      • สถานที่ใกล้เคียงบ้านรุ่งอรุณและสิ่งอำนวยความสะดวก
      • ใกล้ตลาดลุงอ้วน
      • ใกล้นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด ระยอง
      • ด้านหน้าบ้านรุ่งอรุณมีร้านอาหารไทย จีน อิตาเลี่ยน และญี่ปุ่น
      • มีร้านซักรีด
      • มีร้านค้าปลีก
      • มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ
      • มีน้ำดื่มหยอดเหรียญ
      ถ้าคุณกำลังจะเดินทางมาติดต่อธุรกิจหรือทำงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด และบริเวณใกล้เคียงและกำลังมองหาที่พักรายวันและรายเดือนอยู่ ลองติดต่อสอบถามที่บ้านรุ่งอรุณดูสิคะ หรือจะแวะเข้ามาชมสถานที่อันสงบ ร่มรื่นของบ้านรุ่งอรุณก่อนก็ยินดีเสมอค่ะ
       
       
       

       

      โพสท์ใน บ้านรุ่งอรุณ | 19 ความเห็น

      การถือสองสัญชาติมีข้อดีข้อเสียอย่างไร????

      12079104_10153637153454035_4082844644974565675_nการถือสองสัญชาติมีข้อดีข้อเสียอย่างไร????

          เป็นคำถามที่ถามบ่อยมากๆๆๆๆๆ(ต้องใส่ไม้ยมก ย้ำหลายๆครั้งว่ามากถึงมากที่สุดเกือบทุกวัน) สำหรับคนที่กำลังจะถึงเวลาต้องขอสัญชาติที่สองของประเทศที่ตัวเองอาศัยอยู่ ณ ปัจจุบัน แต่ก็ลังเลว่า อะไร ยังไง ดีไม่ดี ขอไม่ขอ????? หวานจะขอใช้คำว่าขอสัญชาติที่สองนะคะ เพราะหลายๆคนชอบพูดว่าเปลี่ยนสัญชาติ…คำว่าเปลี่ยนสัญชาติเป็นการใช้คำที่ผิดค่ะ คือเราขอสัญชาติประเทศที่เราอาศัยอยู่มาเป็นอีกสัญชาติหนึ่งมาเพิ่มจากจากสัญชาติไทยที่เรามีอยู่เดิม เพราะถ้าเปลี่ยนสัญชาติคือเราต้องสละสัญชาติไทย ไปใช้สัญชาติใหม่…ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันว่า …การขอสัญชาติ กับ การเปลี่ยนสัญชาตินั้น…ต่างกันอย่างไร

          หวานก็เลยต้องมาเขียนเป็นข้อมูลไว้ตรงนี้เลยล่ะกันนะคะ เพื่อความเข้าใจตรงกันและหวานก็เอาตัวเองเป็นผู้ทดลองสถานการณ์จริงเกือบทุกอย่างที่ได้เขียนได้เล่าไว้ ณ ตรงนี้ เพื่อที่จะได้ใช้เป็นข้อมูลต่อไป ในการตัดสินใจเพื่อขอสัญชาติที่สอง รองจากสัญชาติไทยซึ่งเป็นสัญชาติเดิมของเรา….
      หวานยื่นขอเปลี่ยนสัญชาติเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2008 และหลังจากนั้นมา หวานก็เป็นคนที่มีสองสัญชาติ สองพาสพอร์ต สองบัตรประชาชน คือ ไทยและเนเธอร์แลนด์ จนถึง ณ วันนี้ 13 ตุลาคม 2015 ที่มานั่งอัพเดทข้อมูล หวานขอเอาตัวเองรับประกัน แบบนั่งยัน นอนยัน ตีลังกายันว่า การถือสองสัญชาติมีแต่ข้อดี ไม่มีข้อเสียแน่นอนค่ะ

          ขอยกตัวอย่างข้อดีสำหรับตัวหวานเองที่ได้ประโยชน์จากการถือสัญชาติเนเธอร์แลนด์ เป็นสัญชาติที่สองนะคะ คือ

      1.เดินทางได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องขอวีซ่า (เพราะพาสพอร์ตเนเธอร์แลนด์สามารถเดินทางได้ 144 ประเทศโดยไม่ต้องมีวีซ่า) แค่ซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วก็เดินทางได้เลยค่ะ สบายหายห่วงเรื่องขอวีซ่าอีกต่อไป….ข้อนี้ดีมีประโยชน์คุ้มเกินคุ้มค่ะสำหรับขาเที่ยว ขาโจ๋ ขาลุยทั้งหลาย

      2.เมื่อคุณถือสัญชาติเนเธอร์แลนด์แล้ว เท่ากับว่าคุณเป็นประชาชนพลเมืองของสหภาพยุโรป เพราะฉะนั้นคุณจะอาศัยอยู่หรือทำงานประเทศไหนก็ได้ในสหภาพยุโรปโดยไม่ต้องขอ work permit ( ข้อนี้คุณต้องมีที่อยู่ และที่ทำงานรองรับด้วยค่ะ เพื่อที่จะเซ็นต์เข้าประเทศนั้นๆ แต่ไม่ยุ่งยากค่ะ) …ข้อนี้ก็คุ้มเกินคุ้มค่ะสำหรับการมีสองสัญชาติ การทำงานในยุโรปภาษาอังกฤษยังใช้ได้สำหรับเมืองใหญ่ๆหรือเมืองหลวงของทุกประเทศค่ะ ถึงแม้ว่าแต่ละประเทศจะมีภาษาเป็นของตัวเองก็ตาม

      ***3. ข้อนี้สำคัญต้องใส่ดอกจันทร์ไว้ให้จำถึงความสำคัญของการถือสัญชาติที่สอง คือ…. ถ้าเราอยากจะอยู่ในประเทศนั้นๆอย่างอุ่นใจ อย่างสบายใจ ว่าไม่มีใครหน้าไหนมาไล่เราออกนอกประเทศนั้นได้แน่นอน เราต้องขอสัญชาติของประเทศนั้นไว้เป็นหลักประกันค่ะ ยกตัวอย่างสัญชาติเนเธอร์แลนด์ล่ะกันนะคะ สมมุติ นะคะ สมมุติ สำหรับคนที่แต่งงานมีครอบครัว ถ้าวันหนึ่ง สามีตาย สามีหย่า หรืออะไรหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดให้เห็นเป็นตัวอย่างมากมายในกลุ่มคนไทยในต่างแดน เรามีสัญชาติเนเธอร์แลนด์แล้วเราสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในเนเธอร์แลนด์ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยผู้ชายก็ได้ค่ะ (แต่ก็มีบ่อยครั้งที่คนไทยหลายๆคนที่ยังไม่มีสัญชาติเนเธอร์แลนด์ก็จะชอบแย้งว่า ไม่เห็นเป็นไรไม่ต้องมีสัญชาติเนเธอร์แลนด์ก็ได้เพราะตอนนี้ก็ถือบัตร ontbebaaldetijds verblijftvergunnings อยู่แล้ว ไม่เห็นจะเดือดร้อน …ส่วนมากถ้าใครพูดมาอย่างนี้หวานก็จะไม่พูดต่อ แค่จะบอกว่าให้ไปคิดเองว่า…บัตรนี้ออกให้ถือไว้สำหรับผู้มาขออาศัยในประเทศนี้ กับการที่เราถือบัตรประชาชนคนเนเธอร์แลนด์…อันไหนรากฐานแข็งแรงกว่ากัน หวานจะไม่พูดต่อไม่อธิบายต่อค่ะ เพราะทุกคนย่อมมีวุฒิภาวะเป็นของตัวเอง)
      สรุปรวมแล้วการถือสองสัญชาติ หวานก็ยังไม่เห็นมีข้อเสีย มีแต่ข้อดีทั้งนั้นค่ะ กฏหมายที่เนเธอร์แลนด์นั้นเปลี่ยนใหม่ พลิกได้ทุกปี เพราะฉะนั้นถ้าปัจจุบัน เราสามารถทำอะไรได้ให้รีบทำค่ะ ราคาการยื่นขอสัญชาติก็เพิ่มขึ้นทุกปี

      *** หลายๆคนที่กำลังจะยื่นขอสัญชาติ ชอบวิตกดังนี้  ***
      ?? มีสัญชาติใหม่แล้วกลัวซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เมืองไทยไม่ได้ หวานขอตอบสั้นๆค่ะว่า….ไม่จริง
      ??มีสัญชาติใหม่แล้วเวลาเข้าเมืองไทยแล้วต้องขอวีซ่าเข้าไทย….หวานขอตอบตรงนี้โดยเอาตัวเองเป็นหนูทดลองมาตลอดว่า…ไม่จริงค่ะ หวานอยู่เมืองไทยปีละหกเดือนบ้าง ห้าเดือนบ้าง สิบเดือนบ้าง โดยถือสองพาสพอร์ต สองสัญชาติ ไม่ต้องขอวีซ่าค่ะ เพราะเราเป็นคนไทย
      ??แพง?? การขอสัญชาติเนเธอร์แลนด์ อาจจะเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างสูงมากสำหรับหลายๆคนทำให้ไม่อยากสิ้นเปลืองตรงจุดนี้ แต่สำหรับความคิดของหวาน ค่าเงินเฟ้อขึ้นทุกปี ถ้าปีนี้เราไม่ขอปีหน้าก็จะยิ่งแพงขึ้น เพราะฉะนั้นขอตอนไหนก็ต้องจ่ายอยู่ดี แต่เป็นการจ่ายเพื่อตัวเราเอง ไม่แพงหรอกค่ะ เพราะจ่ายแล้วคุ้มค่ะ…ยืนยัน

      …….สรุปรวบยอดได้แค่นี้ค่ะ รวบรวมจากหลายๆคน หลายๆคำถาม…หลักๆแค่นี้ล่ะกันนะคะ…สำหรับการถือสองสัญชาติ…โชคดีค่ะ

      โพสท์ใน ไม่มีหมวดหมู่ | 6 ความเห็น

      Stoet 2012 @ Maasmechelen,Belgium

      This slideshow requires JavaScript.

      วันที่ 3-4 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ Maasmechelen มีขบวนแห่คาร์นาฟาลประจำปี 2012 หรือที่นี่จะเรียกเป็นภาษาดัตช์-ฟลามส์ ว่า stoet ซึ่งคำนี้ก็คือความหมายเดียวกันกับคำว่า optocht ในภาษาดัตช์ฝั่งเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถ้าแปลเป็นภาษาไทยคือขบวนแห่ หรือขบวนพาเหรดนั่นเอง สำหรับเทศกาล Carnaval ในสามประเทศที่มีชายแดนติดกันนั้นจะมีขึ้นก่อนวันปาเซิ่น (Pasen)ประมาณห้าสัปดาห์โดยใช้การนับทางจันทรคติ เพราะฉะนั้นเทศกาลคาร์นาฟาลของแต่ละปีจึงจะไม่ตรงกัน รายละเอียดและความเป็นมาของเทศกาลคาร์นาฟาล หวานเคยเขียนไว้ในบล๊อก My life in The Netherlands เมื่อหลายปีก่อนมาแล้วว่า งานคาร์นาฟาลนั้น ก่อกำเนิดเกิดขึ้นมาเพราะว่า เมื่อสมัยโบราณนั้น ทางยุโรปยังมีการแบ่งชนชั้นวรรณะอยู่ แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ทุกคนก็อยากจะมาสนุกสนานร่วมกัน แต่เนื่องจากว่ามีเส้นขวางกั้นระหว่างชนชั้นทำให้การมาสนุกร่วมกันของคนต่างชนชั้นทำไม่ได้อย่างใจหวัง จึงมีการกำหนดร่วมกันว่า วันหนึ่งภายในหนึ่งปีมีการจัดงานคาร์นาฟาลสวมหน้ากากกันขึ้น โดยทาสหรือไพร่อยากแต่งเป็นพระราชา เป็นเจ้าหญิงเจ้าชายก็ได้ตามใจชอบ พระราชาอยากแต่งเป็นช้าง ม้า วัว ควาย ไพร่ ทาส อะไรก็ได้ตามใจชอบ ยกไว้ให้สนุกร่วมกันหนึ่งวัน ดังนั้นจึงได้เกิดประเพณีสวมหน้ากากหรือ Carnaval นี้ขึ้นมา …..
      การจัดงานคาร์นาฟาล ของจังหวัดลิมเบอร์กใต้ ของเนเธอร์แลนด์และจังหวัดลิมเบอร์กของเบลเยี่ยมนั้น มีข้อตกลงร่วมกันว่า ให้ลิมเบอร์กใต้ของเนเธอร์แลนด์จัดงานเทศกาลคาร์นาฟาลไปก่อนหนึ่งเดือน หลังจากนั้นหนึ่งเดือนลิมเบอร์กใต้ของเบลเยี่ยมถึงจัดตามหลัง และก็เป็นการร่วมแรงร่วมใจกันสองประเทศว่า เวลาจัดขบวนทางเนเธอร์แลนด์ทางเบลเยี่ยมก็ส่งขบวนไปร่วมแห่ด้วย พอถึงเทศกาลคาร์นาฟาลทางเบลเยี่ยมทางเนเธอร์แลนด์ลิมเบอร์กใต้ ก็ส่งขบวนมาร่วมด้วย เป็นเหมือนสายสัมพันธ์และร่วมมือกันสืบสายวัฒนธรรมอันเก่าแก่ตั้งแต่สมัยโรมันร่วมกันเพื่อไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา…..และภาพที่หวานรวบรวมมานี้เป็นภาพของขบวนแห่ที่เมืองมาสเมคเคอเลิ่น ของจังหวัดลิมเบอร์กใต้ของทางฝั่งเบลเยี่ยม เมื่อปีที่แล้วหวานเคยลงภาพของขบวนแห่ที่มาสตริก ซึ่งเป็นจังหวัดลิมเบอร์กใต้ของเนเธอร์แลนด์….ขบวนแห่ก็จะคล้ายๆกัน เพียงแต่ทางเบลเยี่ยมมีของกิน ขนม ข้าวของ โปรยจากขบวนแห่เยอะมาก ขนมของขบเคี้ยวเนี่ย เอาเข่งไปใส่กลับบ้านได้เลยล่ะ ของแจกเยอะมาก ดูไปแล้วก็เหมือนการโปรยทานบ้านเราเหมือนกัน…

      โพสท์ใน ท่องเที่ยว | 4 ความเห็น

      กาแฟร้อน ชาร้อน สักแก้วไหมคะ?

      ถ้าเราขึ้นรถไฟในเนเธอร์แลนด์ เราจะเห็นคนขายกาแฟ หรือชา หรือพวกช๊อกโกแล๊ด ขนมขบเคี้ยวน่ารักมาก หวานจะอุดหนุนอยู่เป็นประจำ ส่วนมากก็อุดหนุนอยู่อย่างเดียวคือคาปูชิโน่อุ่นๆแก้วหนึ่ง บางครั้ง แค่อยากอุดหนุนคนทำมาหากินแค่นั้น ทั้งที่จริงๆแล้วบางเวลาไม่ได้หิวกาแฟแต่อย่างใด..พอช่วยได้ ก็ช่วยกันไป อีกอย่างได้พูดคุยทักทายกับบรรดาพนักขายบนรถไฟด้วย ยิ้มแย้มแจ่มใสกับคนทั่วไปวันละนิตก็ทำให้จิตใจเราเบิกบานดีเหมือนกัน….ยิ่งเวลาขึ้นรถไฟระยะไกลคนเดียว กับอากาศอึมครึมและอากาศอันเหน็บหนาวภายนอกรถไฟ แต่พอได้กลิ่นไอหอมกรุ่นของกาแฟก็ทำให้เรากระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้เหมือนกัน…

      พนักงานขายชา กาแฟ บนรถไฟมาแล้ว

      พนักงานแต่ละคนยิ้มแย้มแจ่มใสดีมาก

      กาแฟหอมกรุ่นกับรอยยิ้มละมุนของคนขาย แค่นี้ก็ทำให้กาแฟมีรสชาติอร่อยขึ้นมาอย่างจับใจ

      โพสท์ใน เรื่องราวของเราเอง | 6 ความเห็น

      Je bent een stuk

      ช่วงนี้ลิมเบิร์กถือว่าเป็นสวรรค์ ของพวกสิงห์นักปั่นสองล้อเหลือหลาย เพราะลิมเบอร์เป็นจังหวัดเดียวของเนเธอร์แลนด์ที่มีเนินเขาสูงๆต่ำๆ ทำให้สิงห์สองล้อทั่วทั้งเนเธอร์แลนด์ มาฝึกซ้อมปั่นจั๊กขึ้นๆลงๆตามเนินเขากันอยู่ไม่ขาดสาย วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายนที่ผ่านมีหนุ่มกระทาชายนายหนึ่งซึ่งมาพร้อมกับจักรยานคู่ชีพ แวะเข้ามาที่ร้านสั่ง โกโก้ร้อนกับวีปครีม ถ้าภาษาเนเธอร์แลนด์เรียกว่า Warme Chocomel met Slagroom วันนี้แขกไม่ยุ่งมาก เพราะอากาศอึมครึมๆมาทั้งวัน แม้จะไม่มีฝนก็ตาม อากาศอุ่น แต่ไม่มีแดด ทำให้แขกไม่เยอะเท่าวันที่แดดออก หวานเลยมีโอกาสได้พูดคุยกับลูกค้าบ้าง ตามแต่ลูกค้าจะชวนคุย ดังเช่นหนุ่มกระทาชายนายนี้ก็เหมือนกัน เธอก็ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย ถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ สัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย แล้วแต่จะสรรหามาพูคดุยกัน และแล้วโกโก้ร้อนแก้วที่หนึ่งของเธอก็หมดลง ก็สั่งต่อแก้วที่สอง และหวานก็นำไปเสิร์ฟที่โต๊ะของเธอ และเธอก็พูดขึ้นมาว่า…Je bent een stuk…เยอะ เบ็นท เอิ่น สะตึ๊ก…ไอ้ตัวเราก็ได้แต่ยิ้มๆซึ่งต้องบอกจริงๆว่าไม่รู้ความหมาย ไม่ได้กล่าวอะไรตอบกลับหนุ่มกระทาชายนายคนนั้น

      จนกระทั่งเดินกลับมาหลังเคาน์เตอร์บาร์ ก็มาคิดทบทวนประโยคที่กระทาชานายนั้นเพิ่งพูดจบไป คำว่า Stuk..แปลได้สองความหมายในภาษาดัตช์คือ
      ความหมายแรก Stuk คือ ชิ้น,อัน เช่น een stukje taart คือ เค้กหนึ่งชิ้น
      ความหมายที่สอง Stuk คือ พัง,เสียหาย,หรือแปลความหมายเดียวกันกับคำว่า Kapot เช่น mijn GSM is stuk คือ มือถือของฉันพัง

      เอ๊…กระทาชายนายนี้พูดประโยคนี้ มันจะหมายความว่ายังไงหว่า หาว่าเราเตี้ยๆป้อมๆ เป็นมะขามข้อเดียวหรือ? ถึงใช้ประโยค Je bent een stuk กับเรา ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าผู้ชายคนนี้ปากไม่ดีเลยอ่ะ เราก็รู้หรอกน่าว่าเราอ่ะ เตี้ย ป้อม ไม่สวย แต่ก็ไม่น่าจะพูดความจริงต่อหน้าหญิงซะขนาดนี้

      หรือ ผู้ชายคนนี้หาว่าเรา Kapot เราก็ไม่ได้แสดงท่าทางตรงไหนนี่หว่าว่าเราไม่สมประกอบ ไม่ได้เดินกระเผก เดินเป๋ เดินโซเซอะไรยังไง…คาใจอ่ะ ไม่ได้การล่ะ ก็เลยเดินกลับไปถามกระทาชายนายนั้นทันที…เอ่อ เมอะเนียร์ ประโยคที่พูดเมื่อกี้นี้อ่ะ รู้สึกว่ามันจะ Ontduidelijk อ๊อนเดิ๊ยเดอะเลิ๊ก..ไม่ชัดเจน…เมอะเนียร์หมายความว่ายังไงอ่ะ?

      กระทาชายนายนั้นส่งยิ้มหวานให้กับหวาน พร้อมทั้งยกแก้วโกโกร้อนขึ้นดื่มก่อนที่จะพูดว่า…Je bent een stuk…เป็นภาษาอัมสเตอร์ดัมส์ ถ้าจะพูดเป็นภาษาดัตช์ ก็คือ Je bent een knappe vrouw. เยอะ เบ็นท เอิ่น คะนั๊ปเปอะ ฟราว คือ คุณเป็นผู้หญิงที่สวย…จริงอ่ะเมอะเนียร์ ไม่โกหกนะ ไม่เคยได้ยินอ่ะ…กระทาชายนายนั้น ก็เลยบอกว่า ก็เธออยู่ลิมเบิร์กน่ะ แต่นี่มันเป็นภาษาอัมสเตอร์ดัมส์…โอเค เชื่อก็ได้…
      Dank U voor uw complimentje….ขอบคุณนะคะสำหรับคำชม…

      โพสท์ใน ไม่มีหมวดหมู่ | 20 ความเห็น

      De zon schijnt เมื่อแสงทองสาดส่องฟ้า

      วันนี้ วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2554 ตื่นเช้ามาแดดดีมากๆ อากาศดีมาก ตื่นมาก็ปาเข้าไปจะ 10.00 น.แล้ว เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา เห็นข้อความทางเอ็มที่พี่อ้อน เขียนทิ้งไว้ตั้งแต่ 07.00 น….

      พี่อ้อน…หวาน พี่รู้ว่าหวานยังไม่ตื่นหรอก แต่พี่จะบอกว่า วันนี้ถ้าหวานออกไปเดิน ชวนพี่ด้วยนะ พี่ทำงานถึงบ่ายสอง ไปทำงานก่อนล่ะ…หลังจากอ่านข้อความเสร็จสรรพ รีบโทรหาพี่อ้อนทันที โอเคนัดกันบ่ายสองที่ห้องน้องมะ เพราะหวานหวาน ต้องไปกินข้าวที่ห้องน้องมะก่อนออกไปเดินเช็คเรทติ้งกันในเมือง….อิอิอิอิ

      หลังอิ่มหนำสำราญแล้วพวกเราก็ออกเดินทางกัน วันนี้แดดดีทั้งวัน Bloessem สีชมพูบานสะพรั่งทุกตรอกซอกมุมของเมืองมาสตริก มองไปทางไหนก็สบายตาไปหมด แสงแดดที่สว่างไสว และไออุ่นที่กำลังพอดี ทำให้เดินได้ไม่เหนื่อย และเป็นสุขกับไออุ่นแห่งแสงทองเป็นยิ่งนัก เดินกันไป คุยกันไป หัวเราะกันไป ในวันที่แดดดีๆของสามสาว เสียงดังจ๊อกแจ๊กๆ แต่เราก็มองหน้ากัน พูดคุยกันแค่สามคน ไม่ได้สนใจว่าจะมีสายตาของใครจ้องมองมาที่พวกเราหรือไม่ ช๊อปปิ้งเสื้อผ้ากันพอหอมปากหอมคอ สบายใจกระเป๋าแล้วก็ออกเดินต่อไปที่ Winkelcentrum หรือย่านช๊อปปิ้งนั่นเอง น้องมะก็ขอตัวไปทำงาน หวานกับพี่อ้อน ก็ลัลล้ากันต่อ ก็เลยบอกพี่อ้อนว่า หวานอยากดูรองเท้า วันนั้นที่เราไปดูไว้น่ะของเลียนแบบแค่ 30 ยูโร หวานอยากดูของจริงซึ่งหวานยังทำใจหรือตัดใจซื้อไม่ได้เพราะมันตั้ง 300 ยูโร แต่ขอเดินเข้าไปดูหน่อย เผื่อมันมีโปรโมชั่นลดราคา ก็เดินเข้าที่ร้าน Durlinger ร้านศูนย์รวมรองเท้า ที่ราคาค่อนข้างสูงเหมือนกัน ดูราคารองเท้าแบบที่หวานต้องการราคาก็ยัง 100-200 ยูโร แต่ก็ยังไม่ถูกใจซะทีเดียว เพราะไม่ใช่ยี่ห้อที่เคยดูไว้ พี่อ้อนบอกว่า พี่ก็อยากได้เหมือนกัน แต่ก็ต้องกัดฟันซื้อล่ะ เพราะแพงเหลือเกิน แต่ได้ยินมีแต่คนเค้าบอกว่าดี สำหรับคนทำงานที่ต้องใช้ขาและเท้าอย่างเราคือรองเท้าตัวนี้ เป็นรองเท้าที่ใส่แล้วสำหรับเดินเป็นระยะทางยาวและนาน ที่ทางการแพทย์บอกว่าดี ต่อข้อต่อของกระดูกและกล้ามเนื้อ เขาว่าประมาณนั้นหรือโฆษณาชวนเชื่อก็สุดจะเดาได้ แต่หวานก็เคยลองใส่หลายครั้งแล้ว และก็มุ่งมั่นปั้นหมายไว้ในใจว่าลดราคาเมื่อไหร่เราจะถอยรองเท้ารุ่นนี้ทันที..

      ออกจาก Durlinger ทางประตูหลังของร้าน ตาเหลือบไปเห็นรองเท้ายี่ห้อที่หมายมั่นไว้ในใจ เหมือนซิลเดอร์เลลล่าได้เห็นรองเท้าแก้ว ตาเหลือกโพลง บอกพี่อ้อนว่า..พี่อ้อน..หวานเจอแล้วพี่รองเท้าที่หวานอยากได้ นั่นไงพี่ฝั่งตรงข้ามโน่นไง รู้ว่าเป็นร้านรองเท้าแพง แต่ก็อยากเข้าไปทั้งที่ในกระเป๋ามีอยู่แค่ 10 ยูโร แต่ด้วยความชอบเป็นการส่วนตัว ก็ดึงพี่อ้อนเดินเข้าไปในร้านเลย ตรงแด่วไปหารองเท้าในใจหมาย พลิกป้ายขึ้นมาดู แป่ว….300 ยูโร คิดในใจว่า…ตรูว่าแล้ว…เหมือนหมาเห็นเครื่องบินฉิบเป๋งเลย…จะมีปัญญาซื้อหรือเนี่ย อยากได้ก็อยากได้หรอก แต่เมื่อคิดถึงราคาก็หนาวเหมือนกันล่ะ ใจมันสั่นเพราะอยากได้ แต่อีกใจก็สั่นว่าเราจะต้องควักเงินจ่ายค่ารองเท้าเป็นเงินไทยราคาเลยหมื่นขนาดนั้นเลยหรือ ใส่แล้วบินได้ด้วยหรือ อีกใจหนึ่งก็คิดว่า ซื้อไปเถอะ เพื่อสุขภาพของเรา เรายังต้องใช้ขา ใช้เท้า ใช้กระดูกสันหลัง ทำมาหากินไปอีกนาน อย่าเหนียวนักเลย ของอื่นยังซื้อได้ไม่หวง กะอีแค่รองเท้าใส่ทำงานคู่หนึ่งคิดมากอยู่ได้…เฮ้อ ตัดสินใจลำบากจริงๆ

      ผู้ชายหลังเคาน์เตอร์ ได้ยินพวกเราส่งภาษาต่างถิ่นและหยิบจับรองเท้าราคาแพงของเขาไปมา ไปมากันอยู่นั่นล่ะ ก็เดินเข้ามาถามว่า ให้ช่วยอะไรมั๊ย ก็เลยบอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราแค่ดูเฉยๆ ฉันสนใจรองเท้ายี่ห้อนี้มาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วแต่ราคามันค่อนข้างสูงเหลือเกิน ฉันอยากได้ แต๋ก็ไม่กล้าจ่าย ขอพวกเราดูก่อนได้ไหมคะ ชายคนนั้นก็บอกว่าได้ไม่เป็นไร หรือเธอจะเอาโบว์ชัวร์ไปเลือกดูแบบดูสีที่บ้านก็ได้นะ หรือจากทางเว็บไซด์ก็ได้ที่ http://www.mbt.com ก็ได้…ขอบคุณค่ะ…หลังจากนั้น สาวจากที่ราบสูงของเมืองไทย ก็พากันจับคู่นั้น วางคู่นี้เป็นพัลวัน พัลเก ปากก็เอาแต่พูดว่า..คู่นี้ก็สวย คู่นี้ก็สวย คู่นั้นก็สวย โอ๊ยสวยไปหมดเลยอ่ะ ผู้ชายหลังเคาน์เตอร์ก็เลยถามว่า พวกเธอมาจากไหนหรือ? พวกเรามาจากเมืองไทยค่ะ ไทยแลนด์น่ะค่ะ…จริงหรือ??? พวกเธอเป็นคนไทยหรือ???ค่ะ พวกเราเป็นคนไทย…ชายหลังเคาน์เตอร์พูดว่า อีกสามเดือน ฉันกำลังจะไปเปิดธุรกิจที่เมืองไทย ในนามของบริษัทนี้(ชื่อบริษัทที่เมืองไทย) พอได้ยินหวานก็ร้อง…อ๊อ..ฉันรู้จักบริษัทนี้ แต่เป็นบริษัทในเครือของ..บลาๆๆๆ เรื่องชื่อของบริษัทในเมืองไทย..ผู้ชายหลังเคาน์เตอร์บอกว่า..อีกสามเดือนฉันไปเปิดธุรกิจที่เมืองไทย และฉันจะอยู่ที่เมืองไทยสามเดือน ช่วงเปิดกิจการใหม่ๆจนกว่าธุรกิจเดินแล้ว ฉันถึงจะกลับมา..พี่อ้อน ก็เลยถามขึ้นว่า..คุณต้องการ Assistant ไปเมืองไทยไหม??? ฉันสมัครนะ…ผู้ชายหลังเคาน์เตอร์ เออใช่ฉันอยากได้ผู้ช่วย เพราะฉันไม่รู้จักเรื่องเมืองไทยเลย ไม่เคยอยู่ในหัวด้วย ไม่เคยไปด้วย แต่เมื่องานมันต้องไป ฉันเลยต้องไป…แต่ฉันสนใจผู้หญิงคนนี้(ชี้มาที่หวาน) ฉันไม่รู้อ่ะ ว่าทำไม แต่ฉันมีความรู้สึกว่า เธอคนนี้น่ะจะช่วยฉันได้ในเมืองไทย ฉันมองเห็นความซื่อสัตย์ในตัวของผู้หญิงคนนี้ ฉันมองเห็นว่าเขาจะคุยกับลูกค้าในเมืองไทยได้ในเรื่องธุรกิจของฉัน ถ้าฉันต้องไปต่างแดน แล้วฉันไม่รู้ภาษาเลย ไม่รู้เรื่องอะไรของดินแดนนั้นเลย แล้วมีคนคอยช่วยฉันในดินแดนที่ฉันไม่รู้จัก มันก็น่าจะดี และแล้วผู้ชายหลังเคาน์เตอร์ ก็ยื่นกระดาษ กรอกข้อมูลของการสมัตรงานมาให้หวานกรอกรายละเอียด…หวานก็เลยพูดว่า ฉันมีงานอยู่ที่นี่อยู่แล้ว แต่ฉันทำงานแค่วันที่ 1 เมษา ถึง 31 ตุลา ของทุกปี หน้าหนาวฉันก็กลับไปอยู่เมืองไทย ช่วงนั้นน่ะฉันช่วยคุณได้ หรือถ้าคุณจะกรุณา ก็แค่รับฉันเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ อาทิตย์ละ 5 ชม.10 ชม.ก็ได้ ผู้ชายหลังเคาน์เตอร์ก็พูดว่า เธอรู้หรือเปล่าว่าถ้าเธอเป็นคนยูโรเปี้ยน(เพราะหวานบอกว่าหวานถือสัญชาติดัตช์แล้ว)แล้วออกไปทำงานนอกยุโรป รายได้เธอจะดีมาก และเธอยังจะได้ค่าตอบแทนอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย บลาๆๆๆๆ (แต่รองเท้าตัวนี้มันจะแพงไปหรือเปล่าสำหรับคนไทย แต่ถ้าจะว่าไปคนไทยรวยจะตายเนาะ ขับปอร์เช่ ป้ายแดงกันตั้งเยอะ กระเป๋ายี่ห้อดังๆราคาหลายหมื่นคนก็ยังซื้อกัน มันก็ต้องมีกลุ่มคนรวยที่นิยมใช้ของแพงอยู่บ้างสิน่า..คิดในใจคนเดียว) และผู้ชายหลังเคาน์เตอร์ก็พูดขึ้นมาว่า…เธอจำไว้นะว่าชีวิตคนเราก็เหมือนลูกบอล…มันหมุนไปตลอด ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อลูกบอลมันหมุนไปก็ไม่รู้ว่าจะไปเจอกับอะไร..ให้จำไว้ ชีวิตก็เหมือนลูกบอล…และผู้ชายหลังเคาน์เตอร์ก็พูดขึ้นว่า…ฉันไม่รู้ว่า มันคืออะไร ทำไมวันนี้เธอซึ่งเป็นคนไทยเดินเข้ามาในร้านนี้ ซึ่งฉันกำลังกลุ้มใจเรื่องจะไปเปิดธุรกิจที่เมืองไทย วันนี้ฉันรู้สึกดีใจมาก อุ่นใจมาก ที่ฉันได้รู้จักคนไทย และฉันรู้สึกอุ่นใจว่า ถ้าฉันไม่รู้เรื่องเมืองไทย อย่างน้อยฉันก็ยังมีคุณที่พอจะติดต่อได้…ฉันไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือเปล่าในเรื่องที่เราจะได้ร่วมงานกัน เพราะนั่นมันเป็นเรื่องของอนาคตในวันข้างหน้า แต่ก็ขอบคุณที่ฉันได้พูดคุยกับพวกคุณในวันนี้…หวานก็เลยตอบกลับผู้ชายคนนั้นไปว่า..ขอบคุณมากๆนะคะเมอะเนียร์ ที่คุณได้เปิดโอกาสให้ฉันฝึกปรือภาษาดัตช์ในวันนี้ ฉันไม่ได้หวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณหรือไม่ แต่วันนี้ฉันรู้ว่ารู้สึกดีมากๆ ที่ได้ออกมาใช้ภาษาดัตช์ ..ฉันขอทราบชื่อของคุณจะได้ไหมคะ??? และแล้วชายหลังเคาน์เตอร์ก็หยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าสตังค์ยื่นให้หวาน และก็ยื่นให้พี่อ้อนด้วย และก็มีลูกค้าคู่ใหม่เดินเข้ามาในร้านอีกสองคน และเหลือเวลาอีกแค่ 15 นาที ก็จะถึงเวลา 18.00 น. ซึ่งร้านรวงก็จะปิดหมด หวานกับพี่อ้อน ก็เลยขอลาผู้ชายหลังเคาน์เตอร์..และผู้ชายหลังเคาน์เตอร์ก็บอกกับหวานว่า..อ้อ อีกอย่างหนึ่งนะ..Jouw nederlands is helemal nog niet perfect..หมายความว่า ภาษาดัตช์ของคุณมันยังไม่สมบูรณ์ซะทีเดียวนะ …เธอยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ….แป่วๆๆๆๆ ในช่วงการสนทนาของคนสองคนพี่อ้อนยืนข้างๆหวานตลอด พี่อ้อนเข้าใจทุกอย่างที่เราสองคนคุยกัน เพราะผู้ชายคนนั้นใช้ภาษาง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก พอก้าวพ้นประตูร้านออกมา…พี่อ้อนบอกว่า เออ..การออกมาข้างนอกมันดีอย่างนี้นา บางทีโอกาสมันก็มาหล่นอยู่ตรงหน้าปุ๊เลย วันหลังถ้าหวานจะออกมาข้างนอกอีก ชวนพี่หน่อยนะ…หวานก็เลยตอบกลับพี่อ้อนไปว่า…หวานชอบออกมาข้างนอก พบปะผู้คน พูดคุยกับผู้คน เพราะนี่ล่ะคือห้องเรียนชีวิตจริง ของการฝึกทักษะภาษาดัตช์ของหวานเองจ้า…แต่ก็ให้หวลคิดถึงคำพูดของผู้ชายหลังเคาน์เตอร์ที่ว่า…ชีวิตคนเรามันก็เหมือนลูกบอล มันหมุนไปตลอด ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อลูกบอลมันหมุนไปแล้วจะไปเจอกับอะไร?? หกโมงแล้ว แต่แสงทองยังส่องอำไพไปทั่วท้องฟ้า ไออุ่นจากแสงแดดก็ยังสัมผัสได้ เราสองคนเดินมุ่งหน้าไปให้ถึงป้ายรถเมล์พร้อมกับพูดคุยกันกระหนุงกระหนิงสองคนจนแยกย้ายกันกลับบ้าน…แสงทองบนท้องฟ้าเนเธอร์แลนด์ช่วงนี้ งดงามเหลือเกิน แดดดีทุกวัน ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงิน สาดส่องเรืองรองไปด้วยแสงสีทองของพระอาทิตย์ แต่งแต้มด้วยสีชมพูไปทั่วเมืองของดอกไม้ที่คนที่นี่เรียกว่า Bloessem นี่คือสีสันของฤดูใบไม้ผลิในมาสตริก…ท้องฟ้าจะมืดหรือสว่าง ก็คงจากแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง แต่แสงทองของชิวิตคนเรานั้นจริงหรือที่ว่าต้องห้อยไว้กับโชคชะตาฟ้าลิขิต??????

      โพสท์ใน ไม่มีหมวดหมู่ | 1 ความเห็น

      เนื้อเพลงหวังเจาจวิน

       

      เพลง หวังเจาจวิน
      หวังเจาจวิน >>
      เมิ่นจัวเตี่ยว อาอ่าอาอ่าอาอ้า
      อันซืออี๋หั่นอวั่ง >>
      เจาเจามูมูมู มูมูเจาเจา
      อันหยันเสิ่นซัง อาอ่าอาอ้าอาอ้า
      เฉียนทู๋หมั๋งหมัง จีมู้คงเฉี่ยว
      อาอ่าอ้าอาอ่าอวั้ง >>
      เจียนผิง ส่าเอียนๆๆๆๆๆๆหลั่ว
      เซิงต่วนเหิ่งยัง เยว่ฮุนฮวง
      อาอ่าอาอ้าอาอ่าอา ฟันเจ้าเอียนเหมินกวน
      อาอ้าอ่าอ้าซัง ไส่ไว่ฟงส่วง
      โหย่วโหย่วหม่าถีหมั่ง เจิ่นยื่อซือเสี่ยง
      อาอาอาฉังเย่ซือเหลียง อาอาอาหุ่นหม่งอีจวินอวั่ง
      อาอ้าอ่า >>
      ยังก่วนชูฉั่ง อวั่งสื่อหนันอวั่ง
      พีพาอี่เตี่ย ฮุยโซ้วอวั้งกู่กั่ว
      เหอซันจ่งต้วนฉัง อี่เจียทิงจิ่งค่วง
      >> จวงเสวียนเอินจง
      ตีเอ่อฉิงฉังเยวี่ยนเปี๊ยะเจียเซียง จิ่วหม้งเฉียนเฉิ่น
      เฉียนเฉิ่นจิ่วหม้ง คงโช้วชาง
      หยังก่วนไจ้ชั้งชูจิ่งเซิ๋นซัง พีพ้าเอ่อเตี๊ย
      นิงโม้วอวั่งเย่เฉ่า เสียนฮัวอีลู่ฉัง
      เวิ้นเทียนยาหมังๆ >>
      ผิงส่าเอียนลั่ว ต้าเต้าซวงฮั้นฮู้ตี้
      ฟงกวงเสิ้งสุ่ยชั้นซัน ชั้นซันเสิ้งสุ่ยอู๋ซินซั่ง
      หยังก่วนจงฉั้ง โฮ้วซื่อชีเหลียง
      พีพาซันเตี้ย เฉียนทู๋อวั้งเซินซื่อ
      เพียวหลิงฟูเมี่ยวหมัง จูจวินเย่หมังมัง
      >> ฮุนกุ่ยฮั้นตี้มู้ตู่
      เจาหยังจิ่วโฮ้ว สื่อเหลียงตี้เหล่า
      เทียนฉังเทียนฉัง ตี้เหล่าฉังฮ่วยเสี่ยง
      อิ๊ชวีพีพา เหิ้นเจิ้งฉัง

      ที่มา : http://www.songontour.com/song_detail.php?song=9580

      โพสท์ใน เพลง | 2 ความเห็น

      เมื่อไหร่มิตรมา และหมาเมิน

      เมื่อมั่งมี มากมาย มิตรหมายมอง

      เมื่อมัวหมอง มิตรมอง เหมือนหมูหมา

      เมื่อไม่มี มิตรเมิน ไม่มองมา

      แม้มอดม้วย หมูหมา ไม่มามอง

       

      โพสท์ใน ห้องเก็บของของหวานเอง | 4 ความเห็น

      Life = ชีวิตคือชีวิต

      Live and Learn

      จงมีชีวิตอยู่ และเพื่อเรียนรู้

      While there is life,there is hope

      ตราบที่มีชีวิตอยู่ ตราบนั้นย่อมมีหวัง

      Life is but a dream

      ชีวิตเป็นเพียงความฝัน

      Life has its ups and downs

      ชีวิตมีขึ้นและลง

      Live and let life

      มีชีวิตอยู่อย่างมีชีวิต

      There is no wealth but life

      ไม่มีทรัพย์สมบัติใดที่วิเศษเท่าการมีชีวิตอยู่

      โพสท์ใน ห้องเก็บของของหวานเอง | 5 ความเห็น

      Hoef niet te zeggen แค่มองตาก็รู้ใจไม่ต้องพูดหรอก

      Ik hoef je niet te zeggen,dat ik van je hou.

      อิ๊ก ฮู๊ฟ เยอะ นิ๊ท เทอะ เซ็กเกิ่น.ดั๊ท อิ๊ก ฟาน เยอะ เฮา

      ฉันคงไม่จำเป็นต้องพูดว่าฉันรักคุณ

      Als je in mijn ogen kijk,zeg dat genoeg.

      อาลส์ เยอะ อิน เมน โอเกิ่น เค๊ก,เซ็ก ดั๊ท เกอะนุ๊ก.

      เพราะถ้าคุณมองดูที่ดวงตาของฉันนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำพูดว่า..รัก..

      วิ๊ดวิ๊วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฮ่าฮ่าฮ่า

       

      Ik kijk lieve in de ogen van mensen als ik met ze praat.Ogen veraden veel,ogen laten het verleden zien in ogen zeggen meer dan woorden.

      เวลาที่ฉันพูดกับผู้คนเนี่ย ฉันชอบที่จะมองที่ดวงตานะ เพราะดวงตาเนี่ยมันบอกอะไรได้หลายสิ่งหลายอย่างมากมายกว่าคำพูด ดวงตาไม่สามารถที่จะโกหกได้

      โพสท์ใน หยอดกระปุกภาษาดัตช์ | 10 ความเห็น